ตอนนี้ใครๆ ก็พูดถึงความยั่งยืน ไปไหนก็ได้ยินแต่เรื่องการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนในเกือบทุกที จนบางทีคุณคงอดสงสัยในใจไม่ได้ว่านี่ก็เป็นคำพูดสวยๆ อีกคำหนึ่งที่บริษัทต่างๆ ใช้เพื่อภาพลักษณ์ที่ดี แต่เดอะล็อบบี้ขอยืนยันว่า ความยั่งยืนไม่ใช่แค่คำฮิต แต่เป็นวิถีชีวิตของมนุษย์โลก

สภาพอากาศที่แปรปรวนไปจนถึงวิกฤตฝุ่นจิ๋วที่เราเผชิญกันอยู่น่าจะเป็นเค้าลางที่บอกถึงผลกระทบที่มนุษย์เราได้ฝากพิษสะสมไว้ให้กับโลก ความน่ากลัวดูท่าจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าวันนี้ไม่มีการตระหนักและปรับตัว

จะเห็นว่าตั้งแต่มนุษย์เริ่มมีอารยธรรมที่เจริญขึ้น สัตว์ป่าเลี้ยงลูกด้วยนมต้องสูญพันธุ์ไปแล้วกว่า 83% ไม่รวมสัตว์น้ำกว่า 80% พืชหลายสายพันธุ์กว่า 50% และไม่น้อยกว่า 15% ของปลาทั่วโลกที่ล้มหายตายจากไปเนื่องมาจากวิวัฒนาการและความก้าวหน้าของมนุษย์ (คลิกอ่านบทความฉบับเต็ม this article).

เมื่อย้อนไปดูข้อมูลจะพบว่าโลกของเรานั้นมีอายุราว 46 พันล้านปีแล้ว ถ้าเทียบตัวเลขง่ายๆ เป็น 46 ปี มนุษย์เราก็เพิ่งก่อกำเนิดมาเพียง 4 ชั่วโมง และการปฏิวัติอุตสาหกรรมก็เพิ่งจะเกิดขึ้นเพียงแค่ 1 นาทีที่ผ่านมานี้เอง แต่ในช่วงเวลาเพียง 1 นาทีนั้น มนุษย์ได้ทำลายป่าของโลกไปแล้วมากกว่าครึ่ง!

ฟังดูแย่แต่ก็ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมามนุษย์เราเอาแต่บริโภคและปล่อยมลพิษสู่โลกอย่างไม่ยั้งคิดถึงผลที่จะตามมา คำว่าการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนในวันนี้จึงไม่ใช่แค่เพียงคำพูดสวยๆ อีกต่อไป แต่เป็นแนวทางที่เราต้องนำมาปฏิบัติอย่างจริงจังให้เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิต

1. ในแต่ละปีโลกเรามีอาหารเหลือทิ้งมากถึง 1,300 ล้านตัน ในจำนวนนี้มีเพียง 1 ใน 4 เท่านั้น ที่ได้รับการส่งต่อให้กับผู้คนที่อดอยากตามพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลกที่มีจำนวนกว่า 795 ล้านคน
2. ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์เดอะการ์เดี้ยนของประเทศอังกฤษบอกว่า นับตั้งแต่ช่วงปีพ.ศ.2493 มีการผลิตพลาสติกออกมาแล้วราวๆ 8.3 พันล้านตัน ถ้าจะให้เห็นภาพง่ายๆ ก็ต้องบอกว่าปริมาณที่ว่าเทียบเท่ากับน้ำหนักของหอไอเฟล 800,000 หอรวมกันเลยทีเดียว! ที่น่าเป็นห่วงไปกว่านั้นคือมีเพียง 9% เท่านั้นที่ได้รับการนำกลับมาใช้ใหม่ผ่านกระบวนการรีไซเคิล
3. 73% ของขยะในทะเลทั่วโลกคือพลาสติก
4. มากกว่า 75% ของขยะบนโลกใบนี้นั้นสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ แต่ที่น่าเศร้าคือมีเพียง 30% เท่านั้นที่ได้รับการนำกลับมาใช้จริงๆ
5. ยูเอ็นเอชซีอาร์ หรือสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติเคยออกมาเตือนว่า ภายในปีพ.ศ. 2593 หรือประมาณ 30 ปีต่อจากนี้ ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทั่วโลกจะเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ผู้คนกว่า 250 ล้านคนทั่วโลกต้องไร้ที่อยู่อาศัย
6. อีกหนึ่งดัชนีชี้วัดว่ามนุษย์กำลังผลาญทรัพยากรโลกเกินกว่าอัตราที่โลกจะสามารถเยียวยาได้ทัน ก็คือการคำนวณวันหนี้นิเวศโลก (Earth Overshoot Day) โดยในปี 2543 นั้นวันนี้ตรงกับเดือนตุลาคม แต่ในปี 2559 เลื่อนเร็วขึ้นเป็นเดือนสิงหาคม และแนวโน้มก็ดูเหมือนจะเขยิบเร็วขึ้นทุกปีด้วย
7. ข้อมูลทางสถิติล่าสุดชี้ว่า มีเพียง 1% ของแหล่งน้ำจากทั่วโลกเท่านั้นที่เป็นน้ำบริสุทธิ์ และก็เป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศทั่วโลกทำให้แม้แต่ 1% อันน้อยนิดนี้ก็ยังอยู่ภายใต้ความเสี่ยง ขณะที่ความต้องการใช้น้ำจะพุ่งสูงเกินความสามารถในการผลิตอีก 40% ในปีพ.ศ. 2570
8. องค์การอนามัยโลกออกมาระบุว่าประชากรทั่วโลกกว่า 92% กำลังอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีปริมาณมลภาวะเกินค่ามาตรฐานความปลอดภัยของสุขภาพ (หลายพื้นที่ในประเทศไทยก็กำลังอยู่ในภาวะเสี่ยงเช่นกัน)
9. ผู้คนที่อาศัยในพื้นที่ที่มีมลพิษทางอากาศสูงนั้นมีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งปอดมากกว่าคนที่อาศัยในพื้นที่ที่มลพิษน้อยในอัตราถึง 20%
10. ปริมาณรถยนต์ทั่วโลกขณะนี้มีมากกว่า 500 ล้านคัน และจะเพิ่มจำนวนแตะ 1 พันล้านคันภายในปีพ.ศ. 2570 ลองตรองดูว่าระดับมลพิษในอากาศจะเพิ่มขึ้นไปอีกเท่าไหร่

ข้อมูลที่นำมาฝากนั้นอาจดูน่ากลัวแต่นี่คือความจริงที่เราต้องยอมรับ แม้มือของเราจะมีส่วนทำให้สภาพแวดล้อมของโลกแย่ลง แต่ความหวังที่พอจะมีอยู่บ้างก็คือด้วยสองมือเดียวกันนี้ก็สามารถทำให้โลกนี้ดีขึ้นได้ กลุ่มดุสิตของเราในฐานะองค์กรที่เข้าไปดำเนินธุรกิจในหลายประเทศทั่วโลกก็มีแนวทางการเติบโตที่เน้นความสำคัญกับการสร้างความยั่งยืน จึงทำให้เราใส่ใจในทุกกระบวนการทำงานเพื่อมอบสิ่งดีๆ ให้กับสิ่งแวดล้อมและสังคมนั้นๆ อย่างเต็มความสามารถ

และด้วยเหตุนี้เอง ปีนี้ทั้งปี เดอะ ล็อบบี้ จะนำเรื่องราวของโครงการและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนที่ทำในภาคส่วนต่างๆ ของเครือดุสิต ไม่ว่าจะเป็นที่โรงแรมและรีสอร์ทของดุสิต กลุ่มโรงเรียนในส่วนของการศึกษาการโรงแรม รวมถึงที่สำนักงานใหญ่ของดุสิต มาอัพเดทให้เพื่อนๆ ไม่พลาดทุกกิจกรรมแน่นอน

ส่วนใครที่มีไอเดียแจ่มๆ ว่าดุสิตของเราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน นำเสนอมาได้เลยที่อีเมล์ thelobby@dusit.com เรารอฟังอยู่!

มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเติบโตอย่างสดใส ก้าวไกลอย่างยั่งยืนไปด้วยกันนะคะชาวดุสิต